Skip to main content

MBA Global Business Experience : Kyoto , Japan.

นิสิต MBA Chula ได้เดินทางมาศึกษาดูงาน ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเสริมสร้าง Global Business Experience ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักสูตร MBA Young Executive รุ่น 30/1 ตั้งแต่วันที่ 4-6 มิถุนายน 2567
สำหรับช่วงเช้าวันแรกของการทัศนศึกษาดูงานที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ได้รับเกียรติจาก Prof. Kobayashi กล่าวต้อนรับคณะอาจารย์และนิสิต ซึ่งได้กล่าวย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจที่เข้าสู่ยุคดิจิตัล ซึ่งกระทบต่อการดำเนินธุรกิจที่ทุกอุตสาหกรรม รวมไปถึงธุรกิจในเกียวโตที่เป็นธุรกิจดั้งเดิมที่อยู่บนพื้นฐานของทุนทางวัฒนธรรม จึงเป็นโจทย์สำคัญของทุกภาคส่วนที่จะต้องคิดหาโมเดลทางธุรกิจที่ประสานความดั้งเดิมทางวัฒนธรรมให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจยุคใหม่ที่มีความเป็นดิจิทัลมากขึ้น
จากนั้นกลุ่มนิสิตได้ฟังบรรยายจาก Prof. Maegawa เรื่อง Traditional company in Kyoto ในมุมมองด้านธุรกิจและวัฒนธรรมที่มีจุดเด่นทั้งในด้านฝีมือและคุณภาพ ควบคู่ไปกับการรักษาความสัมพันธ์กับชุมชน ซึ่งทำให้เกิดรูปแบบการทำธุรกิจแบบ Win-Win-Win ที่ทั้งผู้ขาย ผู้ซื้อ และสังคม ได้ประโยชน์ร่วมกัน ทำให้ผลิตภัณฑ์หรือการบริการของเกียวโตนั้นมีความแตกต่างจากเมืองอื่นในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงประเทศอื่นในระดับโลก และลอกเลียนแบบได้ยาก
นอกจากนี้ Prof. Maekawa ยังได้อธิบายอีกว่าการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจตามยุคสมัยได้ทำให้ธุรกิจในเกียวโตต้องมีการปรับตัวที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่มีอายุเกิน 100 ปี (Shinise) ที่มีจำนวนมากในเมืองเกียวโต โดยธุรกิจเหล่านี้ต้องมีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ให้มีความหลากหลายหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงต้องพยายามเรียนรู้การปรับใช้เทคโนโลยีรูปแบบต่างๆ ในธุรกิจ ซึ่งล้วนส่งผลทำให้ธุรกิจในเกียวโตสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงและมีการสืบทอดมาอย่างยาวนาน “small market size, but longer life“
ในช่วงบ่าย นิสิตหลักสูตร MBA Young Executive รุ่น 30/1 ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมบริษัท Eirakuya ซึ่งเป็นธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าประเภทผ้า เป็น family business ที่มีการสืบทอดมานานกว่า 400 ปีในเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันบริหารและดำเนินการโดยรุ่นที่ 14
ในช่วงแรกของการเยี่ยมชม ท่านประธานบริษัทรุ่นที่ 14 คุณ Ihee Hosotsuji ได้เล่าถึงประวัติความเป็นมาของบริษัท กระบวนการทำผ้า รวมถึงแสดงตัวอย่างผลงานผ้าแบบต่างๆ และได้แบ่งปันมุมมอง mindset ในการประกอบธุรกิจครอบครัว(family business) ที่มุ่งเน้นความยั่งยืนของการบริหารงาน และการดำเนินธุรกิจด้วยความใส่ใจต่อคู่ค้า ลูกค้า และสังคมโดยรอบ โดยท่านประธานได้ชี้ให้เห็นว่า การอยู่รอดของธุรกิจในแต่ละช่วงวิกฤตการณ์ของบริษัทตลอด 400 ปีที่ผ่านมา คือ การเข้าใจถึงข้อจำกัดที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป แล้วพยายามมองหาวิธีการในการจัดการกับวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้น
ในปัจจุบันทางบริษัทได้พยายามปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แบบดั้งเดิมให้เข้ากับยุคสมัยใหม่มากขึ้น การสร้างความร่วมมือกับแบรนด์ดังระดับโลก การสร้างเรื่องราวให้กับผลิตภัณฑ์เพื่อให้เกิดการบอกต่อ (caption) และเปลี่ยนมุมมองของการบริโภคจากการบริโภคสินค้าเป็นการบริโภควัฒนธรรม อีกทั้ง ยังได้ขยายแบรนด์ชื่อว่า Diaghilev & Maré เพื่อเข้าถึงกลุ่มตลาดยุโรปมากยิ่งขึ้น
หลังจากจบการบรรยาย เหล่านิสิตได้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ HOSOTSUJI IHEE โดยภายในมีการจัดแสดงสินค้า ตัวอย่างผลงานของ eirakuya ต่างๆมากมาย

ในช่วงเช้าในวันที่ 2 ของการดูงาน นิสิตได้เข้ารับฟังการบรรยายที่ Kyoto University ในหัวข้อ Japanese Business Leadership จาก Professor Shige Makino
เนื้อหาการเรียนในครั้งนี้เริ่มต้นด้วยการอภิปรายถึง Japanease Business Model ซึ่ง Prof. Makino ได้ชี้ให้เห็น ถึง 2 Requirements for leader ที่ได้แก่ Decisiveness หรือความสามารถในการตัดสินใจที่ถูกต้อง และ Execution หรือการดำเนินการเพื่อให้งานเสร็จไปไดด้วยดี โดยผู้นำของญี่ปุ่นมีจุดเด่นด้านการ Execution ในขณะที่ผู้นำจากทางโลกตะวันตกจะมีแนวโน้มโดดเด่นในด้าน Decisiveness
นอกจากนี้ ยังได้มีการเปรียบเทียบให้เห็นถึงรูปแบบของการสร้างนวัตกรรม ที่ผู้นำในโลกตะวันตกมักมุ่งเน้นในการทำสิ่งที่แตกต่าง (Do different) ในขณะที่ผู้นำของญี่ปุ่นมักมุ่งเน้นไปในการทำของเดิมให้ดีขึ้น (Do better)
การบรรยายในครั้งนี้ นิสิตได้ร่วมอภิปรายเปรียบเทียบลักษณะ Leader ที่แบ่งออกเป็น Type A (American), Type J (Japanese), Type C (Chinese) และ Type T (Thailand) ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนหารือลักษณะของผู้นำคนไทยว่าเหมือนหรือแตกต่างกับชาติอื่นๆ อย่างไร
อีกทั้ง เพื่อชี้ให้เห็นถึงบทบาทของผู้นำลักษณะต่าง ๆ กับความสำเร็จของบริษัท ในช่วงท้ายของการบรรยายอาจารย์ได้ยกตัวอย่างบริษัทและผู้นำที่ทำแล้วล้มเหลว พร้อมวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้บริษัทล้มเหลว และปิดท้ายด้วยตัวอย่างบริษัทในญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จด้วยความสามารถของผู้นำ เพื่อถ่ายทอดแนวคิดการบริหารงานที่ดีให้นิสิตสามารถนำไปปรับใช้ในการทำงานได้ในอนาคต 
ส่วนในช่วงบ่าย คณะนิสิตได้เดินทางได้เข้าเยี่ยมชมวัดไดโกจิ (Daigoji Temple) ซึ่งเป็นซึ่งหนึ่งในวัดสำคัญในเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นวัดพุทธนิกายชินงอน (Shingon) ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 874 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกกับ UNESCO เมื่อปี ค.ศ. 1994
เนื่องจากวัดมีอายุกว่า 1,200 ปี และมีวัตถุโบราณทำให้ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องมีการดูแลบูรณะอยู่ตลอดเวลา ซึ่งล้วนแต่ต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ทางวัด ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากมหาวิทยาลัยเกียวโตและภาคเอกชน ในการเข้ามาช่วยวางแผนการบริหารจัดการวัด โดยมุ่งเป้าหมายหลักที่ต้องการสืบสานวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีอยู่ไปพร้อมกับการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์สังคมยุคใหม่ เพื่อให้วัดสามารถอยู่คู่กับสังคมได้อย่างยั่งยืน
ปัญหาที่พบ คือ แม้ว่าทางวัดจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่กลับมีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก สาเหตุมาจากสถานที่ตั้งที่แยกตัวอยู่ห่างจากแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอื่น ๆ ในเกียวโต ทางผู้บริหารและทีมที่ปรึกษาได้กำหนดกลยุทธ์เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมุ่งเป้าหมายให้วัดไดโกจิเป็นศูนย์กลางของชุมชน มีการวางแผนพัฒนาวัดและพื้นที่ใกล้เคียงให้เติบโตคู่กันไปอย่างยั่งยืน โดยมีการวางแผนระยะสั้น-กลาง-ยาว เพื่อให้วัดสามารถเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มาพร้อมกับความเชื่อของผู้ที่มาเยี่ยมชมได้อย่างไร้รอยต่อ และทำให้ผู้ที่เดินทางมาที่วัดได้พบความสงบสุขในจิตใจ
โดยมีกระบวนการทำงานเริ่มต้นจากการพัฒนารากฐานที่สำคัญ คือ การสร้างให้บุคลากรและระบบโครงสร้างองค์กรภายในให้แข็งแกร่ง ซึ่งจะนำมาซึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างยั่งยืน ต่อมาจึงจะสามารถสร้างการรับรู้ (awareness) ให้เป็นที่รู้จัก โดยมีการออกแบบหลักการทำงาน พร้อมกำหนดเป็น KPI ที่นำมาซึ่งการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
การดูงานครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเยี่ยมชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นโอกาสในการเรียนรู้กลยุทธ์การปรับตัวและการบริหารจัดการที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงเช้าวันที่ 3 ของการดูงานสำหรับนิสิต Young Executive รุ่นที่ 30/1 คณะดูงานได้เดินทางจากเกียวโตมายังเมืองโอซาก้า เพื่อศึกษาการจัดการ Walking Street Doguyasuji หรือชื่อเต็ม คือ Sennichimae Doguya-suji Shotengai ซึ่งเป็นย่านการค้าที่เต็มไปด้วยร้านขายอุปกรณ์ทำอาหาร เครื่องครัว และได้รับการขนานนามว่าเป็น “ครัวของประเทศ” ซึ่งเป็นที่ๆ พ่อครัวมือโปรต่างก็ต้องมาซื้ออุปกรณ์ที่ย่านนี้
ตรงหน้าปากทางเข้าถนนการค้า Doguyasuji มีอาคารคลาสสิกอยู่แห่งหนึ่งชื่อ Namba Grand Kagetsu อาคารแห่งนี้คือโรงละครสำหรับการแสดงตลก Prof. Maekawa ที่เป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเกียวโต และเป็นผู้ดูแลพวกเราในทริปนี้ได้บอกกับเราว่าที่ญี่ปุ่นโดยเฉพาะที่โอซาก้านี้กิจการตลกเฟื่องฟูมาก บรรดาดาราตลกชั้นนำของญี่ปุ่นส่วนใหญ่มาจากโอซาก้า
หลังจากนั้นเราได้พบกับเจ้าของกิจการร้านค้ามีด คุณ Ryo Tanaka President จากร้าน Sakai Ichimonji Mitsuhide ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจและพาพวกเราเยี่ยมชมร้าน Sakai Ichimonji ทำให้เราได้เห็นการดำเนินธุรกิจที่ยาวนานสืบทอดมากว่า 70 ปีจนถึงปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 3 ซึ่งเดิมมี Business Model เป็นการขายที่ให้บริการหลังการขาย ทำให้ลูกค้าเกิดการบอกต่อกันเองและได้ลูกค้ารายใหม่มา และยิ่งได้รับ Feedback กลับมา ก็จะสามารถปรับสินค้าให้เข้ากับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทั้งสภาพเศรษฐกิจ ผู้คนหรือวัฒนธรรม ส่งผลให้ทางร้านต้องปรับเปลี่ยน Business Model ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยนอกจากการพัฒนาคุณภาพสินค้าอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังต้องส่งเสริมการสื่อสารในเชิงวัฒนธรรมให้ลูกค้าได้รู้จักด้วย ซึ่งจะทำให้การบริโภคไม่ได้จบลงที่สินค้า หากแต่รวมถึงการบริโภควัฒนธรรมอีกด้วย โดยหนึ่งในความพยายามที่ทำ คือ การสร้างสถานที่ให้บริษัทและหน่วยงานต่างๆ ได้มาพูดคุยทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนทางความคิดกันที่ชั้น 2 ของร้าน โดยสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการดูงานครั้งนี้ คือ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งสำคัญคือ การพยายามคิดหาว่าจะทำอย่างไรให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

สำหรับช่วงบ่ายซึ่งเป็น Session สุดท้ายของการดูงานภายใต้รายวิชา Global Business Experience ของหลักสูตร MBA Young Executive 30/1 พวกเราได้เดินทางไปศึกษาดูงานที่ Osaka Prefectural International Conference Center และได้รับเกียรติจาก Prof. Takeo Mori ในการบรรยายภายใต้หัวข้อ “Towards Osaka World Expo” โดย World Expo นั้นมีกำหนดการที่จะจัดขึ้นในปี 2025 ที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น
การจัด World Expo ในครั้งนี้ ประเทศญี่ปุ่นต้องการสร้างความแตกต่าง โดยได้คิด Concept “People Living’s Lab” เพื่อสะท้อนถึงชีวิต และการเปลี่ยนแปลงไปของยุคสมัย ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดที่ไม่เคยมีใน World Expo โดย Prof. Mori เป็นหนึ่งในผู้รับผิดชอบการจัดการ Pavilion และได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการโครงการฯ ไม่ว่าจะเป็นในแง่มุมของวัตถุประสงค์ของการดำเนินงาน การตั้งราคา การจัดสรรเวลา การแบ่งทีมบริหาร การเดินทาง รวมถึงการเลือกตำแหน่งที่ตั้งเพื่อให้เป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายในประเทศ
อย่างไรก็ตามด้วยระยะเวลาที่กระชั้นชิดของการจัดงาน World Expo ทำให้ปัจจุบันผู้จัดงานประสบปัญหาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนทรัพยากรแรงงาน การนำส่งรูปแบบการออกแบบทางวิศวกรรมของผู้เข้าร่วมงาน โดยทางผู้จัดงานอยู่ระหว่างการจัดการเพื่อเร่งรัดการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถจัดงานได้ทันในเวลาที่กำหนด
ทั้งนี้ Prof. Mori ได้ให้แง่คิดจากเหตุการณ์ดังกล่าวว่าการทำงานเพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด จะต้องมีผู้นำที่คอยตัดสินใจอย่างเด็ดขาด และจะต้องวางแผนให้ชัดเจน คำนึงถึงส่วนรวม รวมถึงทุ่มเทแรงกาย แรงใจเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดผลลัพธ์ที่พึงพอใจสูงสุด

MBA English Program Global Experience “Leading Family Business”

NAGOYA June 2024 MBA Global Experience “Leading Family Business”

As part of the global business immersion program, this year we brought the MBA students (English program) to Nagoya, Japan.
On Day 1, we visited the SCMaglev and Railway Park, a railway museum operated by JR Central. The students learned about the history and innovation of Japan’s high-speed train system and its impact on the Japanese economy and society. The development of Japan’s railway system has been a cornerstone of the country’s economic success, influencing various aspects of business, urbanization, labor mobility, technology, tourism, and environmental sustainability.
The museum visit included interactive exhibits and simulators, allowing students to experience the technological marvels of the Shinkansen and the SCMaglev trains firsthand. These immersive activities provided a deeper understanding of the engineering challenges and breakthroughs that have defined Japan’s rail industry. The students also had the opportunity to see historic train models and learn about the evolution of rail transport in Japan.
Additionally, the visit sparked discussions on the future of transportation and the potential for similar high-speed rail projects in other countries. Students reflected on how Japan’s success with its railway system could serve as a model for improving infrastructure and boosting economic growth globally. The experience highlighted the importance of innovation and investment in public transportation for sustainable development.
 
On the second day of our MBA (English program) study trip in Nagoya, focusing on Japanese family businesses, we started with a morning lecture followed by an afternoon company visit.
In the morning, we visited NUCB Business School, where Professor Yokoyama gave a lecture on the theoretical framework of family business studies. He explained several models involving family businesses, including the 4Cs Model, which emphasizes four key principles: Continuity, Community, Connection, and Command.
Continuity involves maintaining a long-term perspective and making investments to ensure the business’s longevity across generations. Community focuses on fostering good relationships with employees, creating a supportive and loyal workforce. Connection highlights building strong ties with the local community, partners, and customers, enhancing the business’s reputation and network. Lastly, Command underscores the value of independent decision-making, allowing family businesses to act swiftly and align their strategies with family values and goals.
In the afternoon, we visited Maruya Hatcho Miso Co. Ltd. in Okazaki, Aichi Prefecture, where we observed the theories studied in the morning applied to a real Japanese family business.
Hatcho miso has been made in the traditional way since long before the Edo period (1603-1868). The name literally translates to “eighth district,” indicating the facility’s location. Maruya is situated on the Tōkaidō road, historically used as a route from Kyoto to central Honshu before the Edo period.
President Nobutaro Asai explained that Hatcho miso uses only quality soybeans, natural salt, and pure water. The paste is mixed with koji and matured in authentic wooden kegs for over two years, resulting in the deep, aromatic, and cheesy taste characteristic of Nagoya cuisine, such as fried pork cutlet with miso sauce (miso katsu) and miso udon (nikomi udon).
President Asai shared that the secret behind Maruya’s longevity is its people (and microbes!). Maruya treats people and microbes gently, ensuring they are well taken care of. This focus on community is the source of Maruya’s strength, continuing for more than 700 years and aligning with the 4Cs model.
 
On the third day of our MBA (English program) study trip in Nagoya, which focuses on Japanese family businesses, we began with morning discussions about family business case studies, followed by an afternoon session with a talk from the leader of a prominent family business.
In the morning, Prof. Yokoyama wrote family-business case studies specifically for the MBA program at Chula. Students engaged in lively discussions about case studies involving conflicts between the management team and the organization leader, who is from the founder’s family. We learned the importance of open communication and negotiation to avoid conflicts. Effective communication helps prevent unexpected issues. In addition, communication leads to discussions and the exchange of business ideas.
In the afternoon, we had the opportunity to learn from Mr. Seiya Kato, the fourth-generation leader of Okasan Securities. Okasan Securities was founded by Mr. Seiji Kato in the 1930s in Tsu, Mie Prefecture. Unlike other stockbrokers of the time, Okasan adopted a client-first approach, actively seeking out customers rather than waiting for them to visit. This approach, along with strategically locating in underserved areas, helped Okasan become one of Japan’s leading companies.
By 1990, Okasan had joined the ranks of the Sub 10, a group of smaller firms trailing the Big 4 (Nomura, Daiwa, Nikko, and Yamaichi). Okasan’s conservative business model, focusing on client services and avoiding risky proprietary investments, enabled it to survive the 1990 stock market crash, which many competitors did not. Today, the Japanese securities industry is dominated by the Big 2 (Nomura and Daiwa), bank-affiliated firms (Mizuho, Mitsubishi UFJ, SMBC Nikko), and the Sub 2 (Okasan and Tokai Tokyo), with Okasan holding a significant position.
Mr. Seiya Kato discussed the company’s tradition, where the Kato family heir inherits the first kanji letter ‘Sei’ from the founder. He outlined his plans to transition Okasan from traditional securities brokerage and asset management to goal-based wealth management, emphasizing the role of trusted financial advisors in navigating the rapidly changing financial landscape. This session provided valuable insights into Okasan’s historical resilience, the role of founding family members, and future strategies in the financial industry.
 
On the final day of the MBA (English program) study trip in Nagoya, the discussion on family businesses in Japan continued through case studies. In the afternoon, a virtual company visit was conducted where students learned about various aspects and philosophies of many prominent family businesses in Japan.
During the morning class at Nagoya University of Commerce and Business (NUCB), Professor Yokoyama led a discussion on the challenges of family business succession. These challenges are particularly difficult to overcome because previous generations have established systems and practices, while the new generation faces market changes. The transition often involves balancing respect for traditional values with the need for innovation. The new leader must incorporate internal changes gradually to keep up with customer needs and maintain good relationships with employees through constant communication. Additionally, aligning the vision and strategies of different generations can be complex, requiring careful negotiation and collaboration to ensure the business remains competitive and cohesive.
In the afternoon, Professor Yokoyama highlighted several prominent family corporations in Japan, including Suzuki, Suntory, Nissin, Kikkoman, and Toyota. A key takeaway from the Toyota family philosophy is the principle of “one generation, one business (or industry).” This approach mandates that each generation must innovate and create something new to sustain company growth and diversify risk. By fostering an environment of continuous innovation and adaptation, these companies have managed to thrive across generations, contributing significantly to Japan’s economic landscape. This philosophy not only ensures the longevity of the business but also enables it to respond effectively to global market dynamics and evolving consumer preferences.

MBA Global Business Experience: Exploring “Business, Sustainability, and Innovation in Japan”

Tokyo June 2024 MBA Global Business Experience: Exploring “Business, Sustainability, and Innovation in Japan”
ในวันแรกหลักสูตร MBA Chula ได้พานิสิตเยี่ยมชมและเข้ารับฟังการบรรยาย ณ GLOBIS University
เริ่มต้นด้วยการต้อนรับจาก Professor Satoshi Hirose คณบดีของ GLOBIS University Professor Satoshi ได้แบ่งปันประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับ CEO ของบริษัทชั้นนำในญี่ปุ่น โดยเน้นถึงการค้นหา “Guiding Principles” ซึ่งเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจในด้านต่างๆ ของผู้นำ เช่น Centralization vs. Decentralization, Mass vs. Segmentation หรือ Speed vs. Safety ดังนั้นสิ่งที่สำคัญสำหรับนิสิตคือการค้นหาและระบุ “คำสำคัญในชีวิต” เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นผู้นำในอนาคต
คณาจารย์และนิสิตได้ฟังการบรรยายและร่วมอภิปรายเรื่อง Introduction to Japanese Econony and Culture โดย Professor Kelvin Song ซึ่งได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นว่า ประเทศญี่ปุ่นมีการเผชิญหน้าความท้าทายต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจและสังคม ล้ำหน้ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น Flat Economy, Aging Population และ Solo Society ใน Session นี้ นิสิตได้เรียนรู้หลักการที่ประเทศญี่ปุ่นใช้ เช่น Structural Reforms เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนใหม่ในการทำงานและความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน
ช่วงบ่าย Professor Jake Pratley ได้บรรยายและให้นิสิตร่วมอภิปรายปัจจัยส่งเสริมและอุปสรรคของ Godiva Japan ในการปรับตัวจากธุรกิจขายช็อกโกแลตพรีเมียม (Aspiration) สำหรับเป็นของฝากในโอกาสพิเศษ ให้เข้าถึงง่ายมากขึ้น (Accessibility) โดยการเพิ่มสินค้าและช่องทางการตลาดต่างๆ พร้อมทั้งต้องรักษาความเป็นแบรนด์พรีเมียมไว้อีกด้วย Guiding Principles ที่ Godiva Japan ใช้ คือ มุ่งเน้นการสร้าง Right Form ของสินค้า ประสบการณ์ในร้าน กลยุทธ์การโฆษณา และช่องทางการจัดจำหน่าย สำหรับ Session นี้ นิสิตได้เพิ่มพูนความเข้าใจในบริบทธุรกิจญี่ปุ่น และเรียนรู้แนวคิดที่น่าสนใจของบริบทประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสามารถนำไปสร้างสรรค์นวัตกรรมในบริบทอื่นได้
ในวันที่สอง นิสิตและคณาจารย์หลักสูตร MBA เข้าเยี่ยมชมโรงงานแยกขยะของ Ishizaka Sangyo ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้าน Industrial Waste Management ของประเทศญี่ปุ่น
เริ่มต้นด้วยการรับฟังการบรรยายเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มาพร้อมกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของญี่ปุ่นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่ง Ishizaka เป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ของญี่ปุ่นที่ตระหนักถึงปัญหานี้และได้ดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG
ในด้าน Environment ทางบริษัทเปลี่ยนสิ่งของเหลือทิ้งให้กลายเป็นทรัพยากรที่มีค่า สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ สำหรับด้าน Society บริษัทใส่ใจสังคมและชุมชนในการดำเนินธุรกิจ และส่วน Governance บริษัทได้ใช้กลยุทธ์ในการจัดการเพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์จากธุรกิจที่มีภาพลักษณ์ติดลบเป็นธุรกิจที่ผู้คนในชุมชนยอมรับ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล
จากนั้นไปเยี่ยมชมการดำเนินงานของโรงงานแยกขยะ ซึ่งสามารถนำขยะกลับมาใช้เป็นทรัพยากรที่มีค่าได้ถึง 98% โดยไร้ซึ่งการเผาขยะ และใช้พลังงานทางเลือก 100% รวมทั้งเยี่ยมชม Satoyama Farm ระบบนิเวศน์และเกษตรกรรมตามแนวทาง Sustainable Farm เพื่อเป็นตัวอย่างให้สังคมก้าวผ่านสู่ยุคแห่งการบริโภคอย่างมีจริยธรรม
ช่วงอาหารกลางวัน Ishizaka ได้เตรียม Bento Box ที่ทำมาจากผลิตภัณฑ์ Organic จากใน Satoyama Farm เช่น ไข่สด Organic จากแม่ไก่และผักสดในฟาร์ม นอกจากอิ่มอร่อยกับอาหารแล้ว นิสิตยังได้มีโอกาสฝึกทักษะการแยกขยะจากสิ่งที่เหลือหลังรับประทานอาหาร
ในช่วงบ่ายนิสิตได้ร่วมอภิปรายแลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืน และการเยี่ยมชมโรงงานและ Satoyama Farm ทั้งนี้นิสิตได้เปรียบเทียบ Business Model ของธุรกิจรีไซเคิลและฟาร์มเพื่อสิ่งแวดล้อม ของประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย กิจกรรมวันนี้ช่วยจุดประกายให้นิสิตในฐานะผู้นำรุ่นใหม่ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม สังคม และปัญหาความท้าทายต่างๆ ที่โลกกำลังเผชิญ ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความยั่งยืน
💚Happy World Environment Day 💚
ในวันสุดท้าย ช่วงเช้านิสิตได้รับฟังการบรรยายเรื่อง Social Issues in Japan และ KIBOW Impact Investment Fund ซึ่ง GLOBIS University ให้การสนับสนุนแก่ Social Entrepreneurs โดย Professor Suzuka Kobayakawa และร่วมอภิปรายประเด็นปัญหาทางสังคมต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น
Professor Suzuka ได้แบ่งปันประสบการณ์ที่ KIBOW ได้สนับสนุนธุรกิจเพื่อสังคม ผ่าน Stakeholders’ Map โดยเริ่มจากการระบุถึง Stakeholders ที่เกี่ยวข้องในประเด็นสังคมนั้นๆ และ Resources ต่างๆ ที่จำเป็นที่ KIBOW ใช้ เช่น ความรู้ด้านการลงทุน การสร้าง Awareness และ Credibility เพื่อสนับสนุนการสร้างธุรกิจที่แก้ปัญหาสังคมนั้น ในการนี้ KIBOW เชื่อม Stakeholders ทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน และขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเด็นนั้นๆ ใน Session นี้นิสิตได้ร่วมกันหารือถึงปัญหาทางสังคมในประเทศไทย พร้อมทั้งระบุ Stakeholders ที่เกี่ยวข้อง และ Resources ที่จำเป็นสำหรับแก้ปัญหาเหล่านั้น เพื่อสร้างธุรกิจเพื่อสังคม
ในช่วงบ่ายคณาจารย์และนิสิตได้เดินทางไป Shibuya เพื่อเยี่ยมชม D&Department ซึ่งเป็นธุรกิจที่เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและการอนุรักษ์วัฒนธรรม โดยใช้แนวคิด Long Life Design ที่ให้ความสำคัญเรื่อง “เวลา” เน้นความทนทานและการออกแบบที่ยั่งยืน
“d47” เป็นโครงการหนึ่ง ซึ่งเน้นการส่งเสริมและสนับสนุนงานฝีมือและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจากแต่ละจังหวัดในญี่ปุ่น นอกจากนี้ D&Department ยังมีโครงการเพื่อชุมชน เช่น “D Mart 47” ที่เป็นศูนย์กลางในการนำเสนอสินค้าคุณภาพสูงจากทุกจังหวัด หรือโครงการนำของเหลือใช้มาประกอบกันเป็นสินค้าใหม่
การทำธุรกิจของ D&Department สะท้อนถึงความงดงามของการออกแบบข้ามกาลเวลาทำให้สินค้ามีคุณค่ามากขึ้น ใน Session นี้นิสิตได้เรียนรู้หลักการออกแบบเพื่อสร้างธุรกิจเพื่อสังคมที่สร้างสรรค์
 

นักศึกษาจาก Singapore Management University (SMU) เข้าเยี่ยมชมคณะและจัดกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์กับนิสิต MBA CHULA

MBA Chula ต้อนรับการดูงานภายในประเทศไทยของ SMU

เมื่อวันที่ 21 และ 23 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา MBA Chula ได้ต้อนรับคณะคณาจารย์และนักศึกษาจาก Singapore Management University (SMU) โดย รศ. ดร.คณิสร์ แสงโชติ ประธานหลักสูตรฯ ได้ให้เกียรติมาบรรยายให้ความรู้แก่ผู้เยี่ยมชมเกี่ยวกับความเหมือนและความต่างของระบบเศรษฐกิจและสังคมระหว่างประเทศไทยและสิงคโปร์ เพื่อชี้ให้เห็นโอกาสและข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจระหว่างทั้งประเทศ

นอกจากนี้ ในช่วงเย็นของทั้งสองวัน ยังได้มีการจัดกิจกรรม Networking Dinner เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างนิสิตและนักศึกษาของทั้ง MBA Chula และ SMU อีกด้วย

#MBAChula#CBS#ChulalongkornBusinessSchool#SMU#SingaporeManagementUniversity

นักศึกษาจาก GLOBIS University เข้าเยี่ยมชมและรับฟังบรรยายร่วมกับนิสิต MBA CHULA

เพื่อตอกย้ำความเป็นสากล หลักสูตรฯ MBA Chula ได้พัฒนาเครือข่ายความสัมพันธ์กับมหาวิทยาลัยนานาชาติ โดยในวันที่ 29 เมษายน ถึง 1 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา MBA Chula ได้ต้อนรับคณะนักศึกษาจาก GLOBIS University กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ที่เดินทางมาเข้าฟังการบรรยายพร้อมทั้งศึกษาดูงานร่วมกับนิสิตปัจจุบันของ MBA Chula ภายใต้หัวข้อ “ความยั่งยืน และนวัตกรรมทางสังคมในประเทศไทย” (Sustainability and Social Innovation in Thailand)

โดยในวันแรกของการดูงาน (29 เม.ย.) ศาสตราจารย์ ดร. วิเลิศ ภูริวัชร คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้เกียรติมาเป็นประธานกล่าวการต้อนรับ ก่อนจะเข้าสู่การบรรยายในช่วงเช้าด้วยหัวข้อ “เศรษฐกิจ และความยั่งยืนของไทย” (Thai Economy and Sustainability) โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร. คณิสร์ แสงโชติ เป็นผู้บรรยาย ซึ่งเป็นการให้ความรู้เกี่ยวข้องภาพรวมของระบบเศรษฐกิจ ระบบนิเวศทางธุรกิจ และความท้าทายต่าง ๆ ของดำเนินธุรกิจในประเทศไทย

ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ทางหลักสูตรฯ ได้ให้มีการทำ Workshop เกี่ยวกับ Innovation for Social Inclusion โดยได้รับเกียรติจากคุณฉัตรชัย อภิบาลพูลผล Founder ของบริษัท กล่องดินสอ จำกัด มาเป็นผู้ให้ความรู้ โดยเป้าหมายของการทำ Workshop คือ การให้ผู้เรียนได้เริ่มขบคิดเกี่ยวกับปัญหาสำคัญต่าง ๆ ที่ผู้บริโภคต้องเผชิญ ซึ่งในกรณีนี้คือ ผู้พิการ หลังจากนั้นจึงอภิปรายต่อยอดไปสู่การสร้างนวัตกรรม ที่เป็นอุปกรณ์ต้นแบบเพื่อช่วยให้ผู้พิการสามารถดำเนินชีวิตได้สะดวกยิ่งขึ้น

เข้าสู่วันที่ 2 (30 เม.ย.) สำหรับกิจกรรมการดูงานร่วมกันระหว่างคณะนักศึกษาจาก GLOBIS University และนิสิตปัจจุบันของ MBA Chula ในช่วงเช้า ได้มีโอกาสในการร่วมฟังการบรรยายจากธนาคารกสิกรไทยภายใต้หัวข้อ “ความยั่งยืนและบทบาทของอุตสาหกรรมการเงินและธนาคาร” (Sustainability and Roles of Banking of Sector) จาก ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้บรรยายและให้ความรู้กับนิสิต โดยมุ่งเน้นในการนำเสนอวิธีและแนวทางการทำงานของกลุ่มธนาคาร ในมุมมองของธนาคารกสิกรไทย เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจธนาคารและกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปตามนโยบาย ESG (Environment Social and Governance) ตามที่ภาครัฐให้ความสำคัญในปัจจุบัน และจะนำไปสู่การดำเนินธุรกิจแบบ NET ZERO อย่างสมบูรณ์ในอนาคต
.
โดยคุณพรพุฒิ สุริยะมงคล รองประธานกรรมการคนแรก ของ ธนาคารแห่งความยั่งยืน (Bank of Sustainability) ได้ให้โอกาสบรรยายให้ความรู้พิเศษเพิ่มเติมในส่วนของ NET ZERO สู่ความยั่งยืนของกลุ่มธุรกิจธนาคารและโอกาสในอนาคต หลังจากนั้นจึงเปิดโอกาสให้คณะนักศึกษาจาก GLOBIS University และนิสิตปัจจุบันของ MBA Chula ร่วมอภิปรายและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็น NET ZERO
.
นอกเหนือจากนี้ ทางธนาคารกสิกรไทยยังเอื้อเฟื้อความรู้และศึกษาดูงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนที่ KLOUD by KBank ณ สยาม สแควร์ ซอย 7 ด้วยเช่นกัน
 
ในช่วงบ่ายของวันที่ 30 เม.ย. ทางคณะ GLOBIS และ MBA Chula ก็ได้เดินทางไปที่บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำด้านการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนในแวดวงเกษตรอุตสาหกรรมของประเทศไทย บริษัทมิตรผลให้ความสำคัญกับแนวทางการบรรลุเป้าหมาย NET ZERO และมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)
.
คุณ เฉลิมพล ฮุนพงษ์สิมานนท์ Executive Vice President of the New Business ของกลุ่มมิตรผลได้อภิปรายเกี่ยวกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลกระทบจากการปล่อยแก๊สเรือนกระจก เพื่อให้นิสิตเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของแนวทาง NET ZERO และ Carbon Neutrality จากนั้นได้นำเสนอแนวทางการดำเนินงานของมิตรผลที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย NET ZERO รวมถึงการต่อยอดธุรกิจจากผลผลิตอ้อยและน้ำตาล ที่นอกจากจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสและขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยได้อย่างดี ซึ่งสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy Model) ที่ภาครัฐให้ความสำคัญ มุ่งหวังพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ ควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
.
ภายหลังการบรรยาย นิสิตได้รับเชิญให้ร่วมอภิปราย แสดงความคิดเห็น และซักถามประเด็นต่างๆ เพิ่มเติมอย่างกว้างขวาง
ในวันสุดท้าย (1 พ.ค. 2567) ดร.กนก กาญจนภู Vice President, Mediate และอาจารย์พิเศษประจำหลักสูตร MBA ได้ทำการนำเสนอภายในหัวข้อ “ESG as a Driver for Social Innovation in Thailand”
.
โดยเป็นการบรรยายเชิงถาม-ตอบ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในชั้นเรียน เกี่ยวกับนิยาม ความสำคัญ ของ ESG ในปัจจุบันที่ธุรกิจมีเป้าหมายนอกเหนือจากการสร้างกำไรสูงสุด และ ESG ไม่เหมือนการทำ CSR แต่เป็นการลงทุนในระยะยาวเพื่อสร้างความได้เปรียบในอนาคต ที่ธุรกิจจะต้องเจอกับปัญหาสิ่งแวดล้อมจากทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงการนำ ESG มาเป็นส่วนขับเคลื่อนให้ธุรกิจไปต่อได้ในยุคโลกาภิวัตน์
.
ดร.กนก ได้อธิบายการวางกลยุทธ์ และตัวอย่างของธุรกิจ ที่ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนเพียงอย่างเดียว แต่ ESG ยังสามารถนำไปใช้ได้ในหลายแง่มุม เช่น การเกิดแผนกกลยทธ์ ESG ขึ้นในรบริษัท สามารถนำมาใช้จูงใจเด็กรุ่นใหม่ให้เข้ามาทำงาน หรือบริษัทเห็นปัญหาขยะที่เหลือจากวัตถุดิบผ้า เกิดเป็นไอเดียธุรกิจใหม่ แพลตฟอร์มขายเศษผ้าจากการผลิต
.
ดร. กนก ยังทิ้งท้ายไว้ว่าปัจจุบัน ESG ไม่ใช่แค่ Buzz อีกต่อไปแต่สามารถเป็น Plus ให้กับธุรกิจได้ในตอนนี้ และในอนาคตอันใกล้ ESG จะเป็น Must สำหรับวงการธุรกิจ
 
 
ในช่วงบ่ายของวันสุดท้ายนั้น (1 พ.ค. 2567) ดร.กฤตินี เพิ่มทรัพย์ อาจารย์พิเศษ ของหลักสูตร MBA Chula เจ้าของนามปากกา เกตุวดี Marumura ได้ทำการนำเสนอภายในหัวข้อ “Long-Living Companies : Navigating the Time”
.
โดยในช่วงแรกเป็นการบรรยายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความเป็นไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน ที่แตกต่างและโดดเด่นจากชาติอื่นอย่างไร และความเป็นไทยในอดีตเหล่านั้น ยังคงวางรากฐานมาถึงประเทศไทยในปัจจุบัน และทำให้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและธุรกิจที่ดำเนินกิจการในไทย มีจุดเด่นที่แตกต่างจากชาติอื่นอย่างไร
.
ช่วงที่สองเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในชั้นเรียน ผ่านบทความตัวอย่างธุรกิจ เกี่ยวกับธุรกิจไทยที่มีอายุยาวนานมากที่สุดในประเทศอย่าง บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)
ที่มีเรื่องราวน่าสนใจ ตั้งแต่ผู้ก่อตั้งที่เป็นชาวเยอรมัน ทำอย่างไรให้ธุรกิจสามารถเข้าใจวัฒนธรรม สังคม ความเป็นอยู่ และนำหลักพุทธศาสนาอย่าง อริยสัจ 4 มาเป็นส่วนหนึ่งของคุณค่าขององค์กรได้อย่างเฉียบคม และนำมาต่อยอดธุรกิจจากอุตสาหกรรมเดียว กลายเป็นองค์กรที่มี Portfolio หลากหลายได้อย่างไร

CHULALONGKORN BUSINESS SCHOOL SELECTED AS FIELD GLOBAL IMMERSION PROJECT PARTNER FOR HARVARD BUSINESS SCHOOL

Chulalongkorn Business School (CBS) recently had the opportunity to host a team of students from Harvard Business School (HBS) in Bangkok for one week as part of a required course called the FIELD Global Immersion. MBA program at CBS was one of 157 FIELD Global Immersion Project Partners spanning 16 cities across 16 countries. Together these Partners combined to host more than 930 Harvard Business School students in all.
“We are pleased to be working with Harvard Business School in offering a workshop that
enables our MBA students to engage and share ideas with HBS students,” said Prof. Wilert Puriwat, Dean at CBS. “We feel certain that this workshop provided immense benefits to students from both institutions, allowing them to tackle real-world cases across cultural dimensions.”
Harvard is quick to acknowledge that this important learning experience would not be possible without the Project Partners.
“We are extremely grateful to Chulalongkorn Business School and all the FIELD Global Immersion Project Partners organizations for all they do on behalf of our students,” said Len Schlesinger, Baker Foundation Professor and Faculty Chair for the FIELD Global Immersion. “The students benefit immeasurably from this experience and we hope the partner organizations do as well.”

MBA Chula ต้อนรับการดูงานด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของ National Tsing Hua University (NTHU) จากไต้หวัน

(29 ก.พ. – 1 มี.ค. 2567) MBA Chula ต้อนรับการดูงานด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของ National Tsing Hua University (NTHU) จากไต้หวัน เป็นระยะเวลา 2 วัน

ในวันแรกของการดูงาน ทาง MBA Chula ได้ทำการต้อนรับ NTHU พร้อมทั้งพาเดินชมคณะ และสิ่งอำนวยความสะดวกทางการศึกษาของคณะ เช่น Fin Lab และ Black Box ก่อนจะปิดท้ายกิจกรรมในช่วงเช้าด้วยการอบรมภายใต้หัวข้อ Medical Tourism in Thailand ที่มีเนื้อหาพูดถึงการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของประเทศไทย โดยในเชิงรายละเอียดนั้น เป็นการนำเสนอถึงข้อมูล และองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวในแขนงนี้ เช่น ประวัติความเป็นมาในเบื้องต้น, แนวทาง – รูปแบบการดำเนินการในกรณีของประเทศไทย, ศักยภาพ และผลประโยชน์ที่ได้รับของการท่องเที่ยวรูปแบบนี้เป็นต้น

ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน คณะอาจารย์และนักศึกษาจาก NTHU ได้เดินทางไปยัง โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ โดยช่วงแรกของการดูงานจะเป็นการรับฟังบรรยายจากบุคลากรของโรงพยาบาลในหัวข้อต่างๆ ซึ่งได้รับเกียรติในการกล่าวต้อนรับและให้ความรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์การดำเนินงานขององค์กรโดย นาวาอากาศตรีหญิง แพทย์หญิงสุรางคณา เตชะไพฑูรย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช โดยหลังจากจบช่วงการบรรยายเรียบร้อยดีแล้ว ทางคณะเจ้าหน้าที่ก็ได้พาเยี่ยมชมโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็น Virtual Hospital, Samitivej Active Performance Medical Center (SMAP), Advanced Robotic Rehabilitation Center และ Digital Health Venture (DHV) เพื่อให้ได้เรียนรู้ประสบการณ์ในสถานการณ์จริงควบคู่ไปกับการบรรยายอย่างคร่าวๆ

นับเป็นการลงดูพื้นที่และรับฟังการบรรยายอย่างครบองค์ประกอบที่สามารถนำไปสู่การสร้างความรู้ต่อยอดในประเด็นการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ซึ่งเป็นประเด็นที่กำลังอยู่ในขั้นการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพในระดับชั้นนำของโลก

ภายในวันที่สองของการดูงาน ทาง NTHU ได้เข้ารับการอบรมเพิ่มเติม ภายใต้หัวข้อ Healthcare Service Quality in Thailand ที่เป็นการบรรยายเพื่อนำเสนอข้อมูลทางด้านคุณภาพของการบริการด้านการดูแลสุขภาพภายในประเทศที่ครอบคลุมทั้งในส่วนของภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อแสดงให้เห็นว่าการให้บริการทางด้านการดูแลสุขภาพภายในประเทศไทยนั้น เป็นอย่างไร, ถือว่าคุณภาพในระดับไหน และเมื่อเทียบกับตัวแปรต่าง ๆ อาทิ ต่างประเทศ และบริการจากช่องทางอื่น ๆ ในประเทศ จะมีความแตกต่าง และมีการแข่งขันกันได้อย่างไร
การบรรยายต่อมา เป็นหัวข้อ Technological Advancements in Healthcare Systems of Thailand โดยเป็นการพูดถึงความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นกับระบบการดูแลสุขภาพในประเทศไทย ว่าประเทศไทยมีพัฒนาการ – ความก้าวหน้าทางการแพทย์ และระบบสุขภาพในภาคส่วนเทคโนโลยีอย่างไรบ้าง, จุดแข็งของเทคโนโลยีทางการแพทย์ของไทย และก้าวต่อไปของเทคโนโลยีทางการแพทย์ของประเทศไทย
หลังการอบรมสิ้นสุดลง ทาง MBA Chula ได้พาคณะอาจารย์ และนักศึกษาของ NTHU รับประทานอาหารกลางวัน พร้อมทั้งพาชมมหาวิทยาลัยเพิ่มเติม, ซื้อของที่ระลึก ณ ศูนย์หนังสือจุฬา จากนั้นก็ทำการถ่ายรูปหมู่ ส่งท้ายการดูงานในครั้งนี้

MBA Chula เผยความพร้อมต่อการผันแปรของทักษะความเป็นผู้นำในอนาคต

MBA Chula ได้แสดงถึงปรัชญาการเรียนรู้ที่ออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ที่สำคัญสำหรับผู้บริหารในอนาคต

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการเปิดเผยข้อมูลการสำรวจที่มาจากความร่วมมือกันระหว่างคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CBS) และ World Economic Forum (WEF) โดยเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสายงาน และอาชีพในอนาคต ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจนั้นก็คือ ทักษะ – ความรู้ใหม่ที่คาดว่าจะเป็นตัวแปร หรือหัวใจสำคัญของบรรดาธุรกิจ และระบบเศรษฐกิจในอนาคต ที่มีด้วยกัน 10 ด้านดังต่อไปนี้

  1. AI & Big Data – ปัญญาประดิษฐ์ และข้อมูลมหัต
  2. Analytic Thinking – การคิดเชิงวิเคราะห์
  3. Creative Thinking – การคิดเชิงสร้างสรรค์
  4. Leadership and Social Influence – ความเป็นผู้นำ และอิทธิพลทางสังคม
  5. Talent Management – การบริหารจัดการความสามารถ
  6. Resilience, Flexibility and Agility – ความอดทน, ความยืดหยุ่น และความคล่องตัว
  7. Curiosity and Lifelong Learning – ความช่างสงสัย และความต้องการเรียนรู้ตลอดชีวิต
  8. Technology Literacy – ความรู้ในการจัดการกับเทคโนโลยี
  9. Environmental Stewardship – การดำเนินการที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม
  10. Service Orientation and Customer Service – การมีจิตมุ่งบริการ และการบริการลูกค้า

ทางหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (MBA Chula) ก็ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น และพัฒนาหลักสูตรที่ช่วยเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และความสามารถต่าง ๆ ที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ และการดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้บริหารในอนาคต โดยถ่ายทอดออกมาผ่านหลักปรัชญาการเรียนรู้ (5C) ที่ถือว่าเป็นหัวใจหลักของการออกแบบเนื้อหาการเรียนการสอน และกิจกรรมต่าง ๆ หลักสูตร ที่เสริมสร้างทักษะ/ความรู้ในอนาคตเหล่านี้

  1. Critical Thinking: เป็นการคิดวิเคราะห์อย่างมีตรรกะและเป็นระบบ ซึ่งเกิดจากการประสานกันระหว่างความรู้เชิงทฤษฎี กับภาพธุรกิจจริง เพื่อให้ผู้บริหารสามารถคิดวิเคราะห์และการอธิบายกลไกธุรกิจในบริบทต่าง ๆ ได้ ซึ่งทักษะความรู้ในด้าน AI – Big Data และ Analytical Thinking จะมีบทบาทมาก และผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ผ่านวิชาที่เกี่ยวข้องกับ Data Science, Business Analytics และโมเดลการวิเคราะห์มากมายที่สอดแทรกในวิชาต่าง ๆ ของทางหลักสูตร
  2. Creativity คือ Create + Ability เป็นความสามารถในการสร้างสิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น โดยหลักสูตรมุ่งเน้นรูปแบบการเรียนการสอนแบบ Experiential Learning ที่ไม่ได้แค่เรียนเนื้อหาแล้วนำไปสอบ หากแต่จะมีโครงงานให้ผู้เรียนได้นำทฤษฎีไปประยุกต์ใช้จริง ด้วยการทำวิจัยอย่างต่อเนื่องของคณาจารย์ ทำให้องค์ความรู้ที่สอนไม่ได้อยู่แค่เพียงตำราจากต่างประเทศ หากแต่เป็นองค์ความรู้ที่ที่ทันสมัยและประยุกต์ใช้ได้จริงในบริบทของสังคมและเศรษฐกิจทั้งใระดับประเทศและระดับสากล
  3. Care: การให้ความใส่ใจต่อทั้งคู่ค้า ชุมชน และสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ถือว่าความสอดคล้องกับทักษะ – ความรู้ในด้านของ Environmental Stewardship, Service Orientation and Customer Service ผ่านการปลูกฝังและเรียนรู้ในรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างคุณค่าร่วม (Creating Share Values: CSV) ความยั่งยืน (Sustainability) และจริยธรรมทางธุรกิจ ซึ่งวิชาดังกล่าวนี้จะมีการนำผู้เรียนลงพื้นที่ชุมชนเพื่อช่วยคิดวางแผนแก้ปัญหาให้กับธุรกิจจริง เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้ทั้งจากบทเรียนและประสบการณ์จริง
  4. Collaboration: ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในปรัชญาการเรียนรู้ที่ทาง MBA Chula ได้ส่งเสริมแก่ผู้เรียน โดยคุณสมบัติของผู้นำที่ดี คือ สามารถทำงานประสานกันเป็นทีม และดึงศักยภาพที่โดดเด่นของสมาชิกในทีมออกมาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการทำงานได้ โดยผู้เรียนจะสามารถฝึกฝนทักษะเหล่านี้ได้จากการร่วมกันทำโครงงานต่าง ๆ ในแต่ละรายวิชา
  5. Communication: เป็นหนึ่งในทักษะที่ MBA Chula ให้ความสำคัญ เนื่องจากผู้บริหารที่ดีนั้นนอกจากจะมีความรู้ความสามารถแล้ว ยังต้องสามารถสื่อสารสิ่งที่ตนคิดให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันและสามารถดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้ไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ หลักสูตรได้ออกแบบรายวิชาที่ช่วยพัฒนาความสามารถของสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียน ทั้งในการติดต่อธุรกิจ การสื่อสารภายในคณะทำงาน และการสื่อสารเพื่อสร้างอิทธิพลต่อสังคม

นอกเหนือไปจากในส่วนของปรัชญาการเรียนรู้ (5C) แล้วนั้น MBA Chula ยังมุ่งเน้นการส่งเสริม Global Mindset ผ่านการศึกษาดูงานในต่างประเทศ  โดยได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรของหลักสูตรทั้งในและต่างประเทศ ที่เป็นสถาบันการศึกษาและองค์กรธุรกิจ  ทำให้สามารถเข้าถึงการดูงานที่ลึกซึ้งและสามารถเข้าใจบริบทของการทำธุรกิจข้ามชาติได้อย่างแท้จริง

ด้วยความพยายามที่จะพัฒนาการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่องนี้ ทำให้เกิดองความรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้น ล่าสุดหลักสูตรจึงได้ริเริ่มโครงการ Life Long Learning เพิ่มเปิดโอกาสให้นิสิตเก่าของหลักสูตรสามารถกลับมาเพิ่มพูนทักษะและความรู้ใหม่ ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง กลไกการจัดการการเรียนการสอนเหล่านี้ เกิดจากความมุ่งหวังของ MBA Chula ที่จะผลิตผู้บริหารยุคใหม่ที่มีความสามารถพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น และคาดว่าผู้เรียนที่จบไปจากหลักสูตรนี้ จะเป็นแรงผลักดัน และขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคตได้เป็นอย่างดี

 

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปรับทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Website : https://mba.cbs.chula.ac.th/

สำหรับผู้ที่ต้องการรับรู้ข่าวสารจากทางหลักสูตรก็สามารถติดตามได้ ณ Facebook Page : https://www.facebook.com/mbachulalongkorn

Chulalongkorn Business School’s MBA Program Prepares Leaders for Tomorrow

In an era of rapidly evolving workplace skills, the MBA Program at Chulalongkorn Business School (CBS) stands ready to equip future business leaders with the skills and knowledge needed for a sustainable future. Anchored in a 5C learning philosophy—Critical Thinking, Creativity, Care, Collaboration, and Communication—the program aims to forge leaders adept at navigating the challenges of tomorrow.

Assoc. Prof. Nuttapol Assarut, the Director of the CBS MBA Program, disclosed that the curriculum is crafted based on cutting-edge research on the skills vital for future business and economic landscapes. This is in partnership with the World Economic Forum (WEF), highlighting 10 essential skills for future business leaders, including AI & Big Data, Analytic Thinking, and Creative Thinking, among others.

The MBA at Chula is proactive in adapting its curriculum to the shifting skill landscape, focusing on enhancing the abilities, knowledge, and competencies of tomorrow’s leaders through its 5C learning strategy. This strategy informs the curriculum design, including:

Critical Thinking: Emphasizing rational and systematic analysis and interpretation of information. This encompasses understanding business mechanisms across various scenarios, with a significant focus on AI, Big Data, and Analytical Thinking. Courses in Data Science and Business Analytics are central to this pillar.

Creativity: Encouraging the generation of new ideas through experiential learning and projects. CBS leverages ongoing research to blend knowledge from global texts with practical applications, fostering creativity in both local and international contexts.

Care: Fostering a sense of responsibility towards stakeholders, communities, and the environment to build robust and sustainable businesses. This aligns with teachings in Environmental Stewardship and Customer Service, offering students practical experience through community engagement and sustainability projects.

Collaboration: Cultivating leadership qualities that promote teamwork and the maximization of team potential. Students engage in project-based learning to develop these collaborative skills.

Communication: Recognizing the critical role of effective communication in leadership. The program designs courses to enhance various communication skills, ensuring graduates can convey their ideas clearly and align teams towards common goals.

Assoc. Prof. Nuttapol highlighted the recent launch of the Life Long Learning project, encouraging alumni to continuously update their skills and knowledge, affirming the program’s commitment to producing visionary leaders ready for future challenges. The program aspires to be a catalyst for sustainable business development.

For additional details, please visit the MBA Chula website at https://mba.cbs.chula.ac.th/ or their Facebook page at https://www.facebook.com/mbachulalongkorn.

#MBAChula #CBS #ChulalongkornBusinessSchool #LifeLongLearning #FutureSkills

นิสิตหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต คณะพาณิชศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (MBA Chula) คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 จากการประกวด Venture Capital Investment Competition-VCIC

นิสิตหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต คณะพาณิชศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (MBA Chula) คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 จากเวทีการประกวด Venture Capital Investment Competition-VCIC ที่จัดขึ้นที่ Nanyang Technological University (NTU), Singapore เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา

ตัวแทนนิสิต 6 ท่านที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ เป็นนิสิตหลักสูตร MBA Executive รุ่นที่ 37 ประกอบด้วย

1. นายธนกร จันทรังษี

2. นางสาวกาญจนา อุเทนดากรณ์

3. นายดิลก ตั้งฐานสัมมา

4. นายธษภิชญ ถาวรสุข

5. นายพัศพงศ์ ชมเชย

6. นายวิศรุต อมรชัยเจริญ

โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.คณิสร์ แสงโชติ และรองศาสตราจารย์ ดร.ณัฐพล อัสสะรัตน์ เป็นที่ปรึกษา

เวทีการประกวดในครั้งนี้วัดความสามารถของผู้เข้าแข่งขันที่สวมบทบาทนักวิเคราะห์ของกองทุน Venture Capital

ผู้แข่งขันต้องแสดงศักยภาพในการวิเคราะห์ศักยภาพของธุรกิจ start-up แต่ละรายที่เข้ามา pitch ประเมินมูลค่าและโอกาสต่อยอด เจรจาต่อรองเงื่อนไข และนำเสนอการตัดสินใจลงทุนใน start-up ที่เลือกให้คณะกรรมการลงทุน เป็นการจำลองการทำงานของ VC จริง

ผลงานของทีมแสดงถึงความสามารถของนิสิตในหลักสูตรฯ ที่ทัดเทียมมหาวิทยาลัยชั้นนำในระดับนานาชาติ

#MBAChula#CBSChula#ChulalongkornBusinessSchool#VCIC

นิสิตประจำหลักสูตร Executive รุ่นที่ 38 และคณาจารย์จาก MBA Chula ได้เดินทางไปดูงาน ณ จังหวัดเชียงใหม่

เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2566 นิสิตประจำหลักสูตร Executive รุ่นที่ 38 และคณาจารย์จาก MBA Chula ได้เดินทางไปดูงาน ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยในวันแรกนี้ ทางหลักสูตรฯก็เริ่มต้นด้วยการไปดูงานที่ Hillkoff Learning Space โดยมีคุณณชาศิลป์ เจริญกุล, ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ, บริษัท ฮิลล์คอฟฟ์ จำกัด เป็นวิทยากรให้การอบรมภายในวันดังกล่าว

โดยคุณณชาศิลป์ได้ทำการเล่าถึงรายละเอียดต่าง ๆ ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็น การเริ่มต้นของบริษัท, กระบวนการ/แนวทางการทำงาน, และผลิตภัณฑ์ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์จากส่วนต่าง ๆ ของเมล็ดกาแฟ (กาแฟ, เครื่องดื่มจากเนื้อเมล็ด), ถ่านชีวมวล และอื่น ๆ

ซึ่งจุดเด่นของฮิลคอฟฟ์นั้น คือการให้ความสำคัญกับนวัตกรรม – การวิจัยที่สามารถต่อยอดมาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้แก่บริษัทได้ อีกทั้งยังมีในส่วนของกระบวนการการทำงานของบริษัทที่ยึดโยงกับชุมชนท้องถิ่น, เกษตรกร และสิ่งแวดล้อมเป็นหลักอีกด้วย

ในช่วงเวลาบ่าย กับวิสาหกิจชุมชน มู่ลี่ทอดิ้นเงิน By ป้าโต๊ะ OTOP อ.หางดง ซึ่งก็ได้ คุณประณต เตชะปัน ผู้สืบทอดดูแลกิจการในปัจจุบัน เป็นผู้นำชมวิสาหกิจ
.
ภายในการดูงาน ณ วิสาหกิจชุมชนแห่งนี้นั้น นิสิตก็ได้รับชมกระบวนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการสาน และการเย็บผลิตภัณฑ์ อีกทั้งผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทั้งที่เคยมีการวางขาย และที่กำลังจะวางขายภายในช่วงปี 2566/2567
.
นอกจากนี้ก็ยังมีในส่วนการอบรม และพูดคุยกับคุณประณตถึงการดำเนินกิจการของวิสาหกิจ และปัญหาที่วิสาหกิจกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ โดยตัววิสาหกิจนั้น ทำการขายผลิตภัณฑ์ประเภท Homemade และมีการจัดทำตามการสั่งซื้อเป็นหลัก ในส่วนของปัญหาที่พบเจอก็มีตั้งแต่แรงงานที่กำลังจะขาดแคลน เนื่องด้วยเป็นผู้สูงอายุเสียส่วนใหญ่, ช่องทางจำหน่าย และโอกาสเผยแพร่ยังน้อย อีกทั้งราคาของสินค้ามีความผันผวนตามตลาดที่จำหน่าย
วันที่ 2 ของทริปดูงานสำหรับ นิสิตหลักสูตร Executive รุ่นที่ 38 ประจำ MBA Chula โดยได้รับเกียรติจาก คุณนฤมล ทักษอุดม, กรรมการผู้จัดการ, บริษัท ฮิลล์คอฟฟ์ (Hillkoff) จำกัด มาบรรยาย และแลกเปลี่ยนความเห็น ณ โรงแรมยูนิมมาน เชียงใหม่
.
ในการบรรยาย คุณนฤมล ได้ทำการกล่าวภายในหัวข้อ Living in Sustainability, Harmony and Longevity ที่ได้พูดถึงแรงบันดาลใจในการก่อตั้งธุรกิจ และแนวทาง – รูปแบบในการดำเนินธุรกิจที่มีเป้าหมายเพื่อความยั่งยืน, ความเหมาะสม และความยืนยาวของธุรกิจ
.
โดยสรุปแล้วนั้น แรงบันดาลใจของคุณนฤมลก็คือความตั้งใจในการสานต่อความสำเร็จของคนรุ่นก่อนให้ต่อเนื่อง และพร้อมที่จะส่งต่อให้กับคนรุ่นต่อไป ซึ่งการจะสามารถทำเช่นนั้นได้ก็ต้องมีการสืบกลับที่ต้นตอของธุรกิจว่าเกิดขึ้นจากอะไร และการลงทุนทางธุรกิจควรมีการคำนึงถึงกับความคิด/แนวคิดไปด้วย
.
ซึ่งก็เช่นเดียวกับที่ Hillkoff ได้ให้ความสำคัญกับทรัพยากรธรรมชาติ, สิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมต่าง ๆ ที่มีรากฐานมาจากผลิตภัณฑ์ตั้งต้นของบริษัท : กาแฟ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save